people

Mima Mounds

Mima Mounds [กองเนิน Mima]

กล่าวกันว่านักวิทยาศาสตร์เป็นกลุ่มที่หลงใหลในเรื่องศาสตร์ลึกลับ นักชีววิทยาชื่นชอบการเข้าถึงเซลล์ของมนุษย์ อานุภาคของพระเจ้า นักฟิสิกส์ยังคงค้นคว้ารังสีคอสมิก นักดาราศาสตร์ยังคงค้นคว้าเรื่องหลุมดำ และทั้งหมดก็ยังคงเป็นปริศนากันให้ขบคิด (กันหัวแทบแตก) จนถึงทุกวันนี้ และสิ่งที่จะนำเสนอในวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยังคงเป็นปริศนาให้แก่โลกใบนี้ โดยเป็นเรียกว่า “Mima Mounds”

 กองเนินตะปุ่มตะป่ำ Mounds

Mima Mounds (อ่านว่า ไมมา มาวส์) นี้เป็นลักษณะภูมิประเทศที่ตะปุ่มตะป่ำเป็นเนินอย่างที่เห็นในรูปล่ะครับ โดยพบได้ในหลายแห่งของโลก เช่น เคนยา แคนาดา ออสเตรเลีย จีน และแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาของรัฐแคลิฟอร์เนีย อาร์แคนซัส เท็กซัส หลุยส์เซียน่า และวอชิงตัน

 Mima mounds แบบ original 

โดย Mounds หรือเนินปูดๆ เหล่านี้นั้น มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3-50 ม. สูงประมาณ 30 ซม.- 2 ม. และมีความหนาแน่นตั้งแต่ไม่กี่อันจนถึงมากกว่า 50 mounds ต่อเอเคอร์ โดยชื่อ Mima Mounds นี้ได้มาจากชื่อทุ่งหญ้า Mima Prairie ใน Thurston Country รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

ความแปลกประการแรกของมันคือ มันมีลักษณะเหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงลักษณะที่ตั้ง (ไม่แคร์สื่อว่างั้นเหอะ) โดย mounds ในเคนย่ามีลักษณะใกล้เคียงกับในเม็กซิโกและแคนาดา โดยพบว่า mounds ทั้งหมดจะมีลักษณะเป็นกองดินสูง 6 ฟุต แถมมีลักษณะเรียงกันเป็นแถวที่มีระยะเท่าๆ กันอีกด้วย

 Mima mounds แบบเนินใหญ่

สิ่งที่เป็นปัญหาให้ถกกันเล่นๆ ต่อไปคือ มันคืออะไร? มันมาจากไหน? และทำไปทำไม?

ทฤษฏีที่ดูมีเหตุผลฟังขึ้นบ้างก็ว่า คนพื้นเมืองเป็นคนสร้างมันขึ้นมาโดยลากขยะและดินมากองไว้ แต่มีคนแย้งหนักเหมือนกันว่า
ดูก่อนท่านทั้งหลาย... ไอ้กองดิน mounds นี้มันคนละชนิดกันกับดินที่อยู่ใกล้เคียงนะครับ แถมไม่มีเครื่องบ่งชี้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันใดเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำพวกเขาจะทำยังไงให้คนที่อยู่ห่างกันไปเป็นพันๆ ไมล์ คนละทวีป คนละโยชน์ เช่น เม็กซิโก จีน เคนย่า ทำเช่นเดียวกันเล่า? --- เป็นอันตกไปครับ

ทฤษฎีต่อไปโดยนาย George Cox ซึ่งเป็นนักสวนสัตว์ San Diego State University บอกว่าหนูที่ชื่อ Pocket gophers ซึ่งมีมีมากมายในแถบอเมริกาเหนือ ขุดดินบริเวณนั้นขึ้นมาเพื่อสร้างที่อยู่ของมัน แต่มีข้อโต้แย้งว่าหนูประเภทนี้ก็ไม่ได้อยู่อาศัยใน mounds นี่นา แถมมันก็ไม่ได้มีอยู่ในจีนหรือเคนย่าด้วย


ทฤษฎีต่อมา ธรรมชาติสร้าง คือลม ฝน และปัจจัยทางธรณีต่างๆ (และพระเจ้า) ช่วยกันสร้างขึ้นมา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเขตแห้งแล้งจึงทำให้มีลมกวาดมันขึ้นมาเป็นกองได้ บ้างก็ว่าเกิดจากแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อ 1,000 ปีก่อนมาเขย่าทำให้ดินเทกองรวมกัน บ้างก็ว่าเกิดจากธารน้ำแข็งในยุคโบราณระเหยไปจึงทำให้เป็นหลุม บ้างก็ว่าเคยเป็นดินแดนที่จมอยู่ใต้น้ำ เมื่อน้ำระเหยไปจึงทำให้เกิด สิว บนบนโลก บ้างก็ว่าเกิดจากแร่ธาตุในดินบวมขึ้นมา ฯลฯ


แต่จนแล้วจนรอดยังไม่มีผู้ตอบได้ครับว่า แล้วทำไมต้องมีเฉพาะบางจุดของโลกที่มีลักษณะดินไม่สัมพันธ์กันเลย แถมยังสร้างได้เท่ากันเป๊ะราวกับได้วัดมาอย่างดีแล้วอีกต่างหาก

  
ทฤษฎีต่อไปเลยยกให้เป็นผลงานของสิ่งเหนือธรรมชาติไปซะเลย ให้รู้แล้วรู้รอดไป... จะฝรั่งหรือไทยก็เหมือนกันละ ถ้ายังมืดอยู่ละก็ยกให้เป็นปัญญาของพระเจ้าเถิด :D

---------
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
1. mystic-places.blogspot.com
2. wikipedia.com

The great blue hole - Belize

The Great Blue Hole [โคตรหลุมใต้ทะเล]

The Great Blue Hole คือหลุมขนาดยักษ์ที่จมอยู่ใต้น้ำนอกชายฝั่งของ Belize ตั้งอยู่ใกล้เขตศูนย์กลางของ Lighthouse Reef ซึ่งเป็นเกาะปะการังขนาดย่อมประมาณ 100 กม. (62 ไมล์) จากชายฝั่งเมือง Belize เขตพื้นที่แนวหินโสโครกนี้ทอดตัวยาวประมาณ 1,000 ฟุต และเป็นที่อยู่สุดสบายของปะการังจึงทำให้เขตนี้เป็นเขตปะการังที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง
  
นี่ละครับ "โคตรหลุมสีฟ้า" - The Great Blue Hole

The Great Blue Hole นี้มีขนาดกว้างประมาณ 300 ม.(984 ฟุต) และลึกประมาณ 125 ม.(410 ฟุต) เองครับ !!! รูปร่างของหลุมเป็นลักษณะเหมือนถ้ำครับ สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง ซึ่งระดับน้ำทะเลในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 100-120 ม. (330-390 ฟุต) ซึ่งต่ำกว่าในปัจจุบันครับ โดยคาดว่าแรกเริ่มเดิมทีมันเคยเป็นถ้ำหิน Limestone มาก่อน ต่อมาพอระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก็เลยท่วมถ้ำจนหมด เพดานถ้ำโดนน้ำเซาะจนพังทลาย และยุบตัวซ้ำๆ จนกลายเป็นหลุมกลวงโบ๋อย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยมีอุณหภูมิที่ความลึก 130 ฟุต (40 เมตร) ประมาณ 76 องศา F (24 C) ตลอดทั้งปี

ลักษณะแท้จริงของ The Great Blue Hole คือเป็นถ้ำหินปูนใต้ทะเลครับ

The Great Blue Hole ยังเป็นสุสานของนักดำน้ำมากมายด้วย สาเหตุของการตายของนักดำน้ำเพราะที่ระยะ 60 ม. นักดำน้ำจะเกิดอาการ Nitrogen narcosis ทำให้หมดสติได้ ประกอบกับปากอุโมงค์เห็นยากเพราะมีลักษณะเป็นหลุมที่ลึกและมืด ทำให้นักดำน้ำที่ยังอยากลงไปพบจุดจบมากๆต่อมากแล้ว แต่ยังมีนักประดาน้ำจัดอันดับให้มันเป็น 1 ใน 7 สถานที่ดำน้ำประเภทที่สุดของโลกอยู่ดีครับ

ถ้าสงสัยว่า Belize อยู่ที่ไหน - นี่ครับ อเมริกาใต้ครับ



แต่หลุมที่ลึกที่สุดในโลกใต้ทะเลที่มีการบันทึกไว้คือ Dean’s Blue Hole ครับ ซึ่งลึกประมาณ 202 ม. (663 ฟุต) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของ Clarence Town ใน Long Island, Bahamas ครับ (ลึกได้อีก จะมีตัวอะไรอยู่บ้างเนี่ย)

นี่คือ Dean's Blue Hole ครับ - ดูภายนอกไม่เท่าไหร่เลยใช่มั้ยครับ

ภายในของ Dean's Blue Hole ครับ - มันเป็นขวดนมครับ

มาว่ากันเรื่อง The Great Blue Hole กันต่อนะครับ ภายในถ้ำนี้มีหินงอกหินย้อยจำนวนมาก




ปัจจุบัน The Great Blue Hole (โคตรหลุมสีฟ้า) เป็นส่วนหนึ่งของเขตอนุรักษ์แนวปะการังของ Belize (Belize Barrier Reef Reserve System) ซึ่งเป็นมรดกโลก UNESCO นะครับ ซึ่งเป็นที่ที่มีผู้คนสนใจไปเยี่ยมชม และ hot hit สำหรับผู้รักการดำน้ำ (ลงรูไปดูของแปลก) ปีละเป็นจำนวนมากครับ :D

-----
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
1. Wikipedia.com
2. Flicks.com 


Stone Henge – Wiltshire, England (3)

ตอนที่ (3) Stonehenge สร้างขึ้นเพื่ออะไร? (ตอนแรก)


สืบเนื่องจากตอนที่แล้วในเรื่องความลับของการสร้าง Stonehenge จึงทำให้มีคำถามว่า ความจริงแล้ว Stonehenge ถูกสร้างเพื่ออะไร? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญได้ถกกันมาเยอะมากครับ เอาเป็นว่าผมศึกษามาพบว่า ไว้ 3 ข้อสรุปหลักๆ นะครับ

  • ปฏิทินดูกาลโบราณ 

อันนี้เป็นข้อสรุปแรกๆ จากความรู้ด้านดาราศาสตร์ หลังจากใช้นักโบราณคดีใช้ Radiocarbon วัดอายุหิน ก่อนหน้านี้ ได้มีการสันนิษฐานกันไปต่างๆ นาๆ ว่าไอ้แท่งหินประหลาด Stonehenge นี้มีไว้เพื่ออะไร บ้างก็ว่าสร้างมาเพื่อสำหรับเป็นแท่นบูชาบรรพบุรุษ บ้างก็ว่าบูชาเทพเจ้า บ้างก็ว่าเป็นหอดูดาว

ส่วนนาย Gerald S. Hawkins (1973) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน สันนิษฐานว่าเครื่องมือทำนายตำแหน่งทางดาราศาสตร์ เพื่อใช้เป็นปฏิทินแบบคร่าวๆ เพื่อคำนวณตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก (หรือปฏิทินฤดูกาลโบราณ ถ้าว่างๆ ผมจะนำเสนอเพิ่มเติมครับ) ซึ่งในข้อนี้ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักนะครับ โบราณสถานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการคำนวณตำแหน่งดวงดาว โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ไว้อย่างแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว เช่น เขาพระวิหาร และซิกูแรต 
  
ระยะที่ 1 (อายุ 4,900 – 4,950 ปี)

ยังไม่มีหินที่เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีท้องร่องขนาดกว้าง 20 ฟุต เป็นวงกลมล้อมรอบ เส้นผ่าศูนย์กลาง 320 ฟุตชั้นด้านในมีหลุมเหมือนสนามเพลาะขนาด กว้าง 4.5 ฟุต ลึก 7 ฟุต เรียงกันเป็นวงกลม 56 หลุม เรียกว่า Aubrey Holes พบกระดูกสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นวัวบริเวณก้นหลุม (อายุกระดูกสัตว์แสดงความเก่ากว่าหลุม 200 ปี) ประเมินได้ว่าก่อนหน้านี้ เป็นสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 


ระยะที่ 2 (เริ่มต้นประมาณ 4,900 ปี) 

มีการปรับระดับมูลดิน โครงสร้างไม้ปักแสดง เป็นสัญลักษณ์กลุ่มโดยมีเสาไม้ บริเวณทางเข้า ทิศเหนือและทิศใต้ มีช่องทางเดินตามแนวแสงของ ดวงอาทิตย์ (ช่วงกลางฤดูร้อน) บริเวณหลุมพบ โครงกระดูกมนุษย์ไม่น้อยกว่า 200 คน ซึ่งหลงเหลือจากการฌาปนกิจ และเป็นจำนวนมากบริเวณปากหลุม

ระยะที่ 3 (อายุ 3,600 – 4,550 ปี)

เป็นการก่อสร้างโดยตรง นำเสาหิน Bluestone ประมาณ 80 ต้นจัดทำเป็นวงกลม 2 วงซ้อนกัน หินส่วนใหญ่นำมาจาก Carn Meini Quary (Southwestern Wales) มีระยะทางประมาณ 100 กม. 


  • เทวสถานศักดิ์สิทธิ์ 
ถือเป็นความเชื่อแรกๆ เลยครับ อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากความลี้ลับในการสร้างทำให้เกิดปรากฏการณ์ วันกลางฤดูร้อน นอกจากนี้เป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับข้อแรกนะครับเนื่องจากสถานที่บูชาในสมัยก่อนถือเป็นที่ติดต่อกับพระเจ้า และมีความเชื่อในเรื่องพลังจักรวาล จึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงระหว่างดวงดาว

  • มนุษย์ต่างดาวสร้าง เลยไม่รู้ว่าสร้างเพื่ออะไร...ก็ผมเป็นมนุษย์นี่ครับ 
 ซะงั้น แต่กลุ่มที่เขาเชื่อถือนี้มองว่าทั้งความรู้ขั้นเทพนี้ไม่ธรรมดา (เหมือนกันพวกปิรามิด) อย่าลืมนะครับว่า แม้แต่ในปัจจุบันนี้นักโบราณคดียังคงไม่มีคำตอบว่า เป็นไปได้หรือที่คนยุคโบราณไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใดๆ จะขนย้ายหินน้ำหนักเป็นตันๆ และการก่อสร้างอย่างเหมาะเจาะ ...ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนโบราณยุค Neolithic นั้น

Stonehenge มีความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาก เ่ช่นเดียวกับเรื่องของหมู่บ้าน Avebury ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก

  • หลุมฝังศพกษัตริย์ หรือเป็นอนุสาวรีย์ อันนี้จากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ครับ (อันนี้จะนำเสนอตอนถัดไปครับ)
      
    ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการสร้าง Stonehenge ยังไม่จบแค่นี้นะครับ คราวหน้ามาต่อครับ :D

    -------------
    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก:
    1. www.wikipedia.com
    2. www.nationalgeographic.com
    3. www.puansanid.com

    Stone Henge – Wiltshire, England (4)

    ตอนที่ (4) Stonehenge สร้างขึ้นเพื่ออะไร? (ตอนจบ)



    ต่อจากคราวที่แล้วนะครับ หลังจากออกนอกโลกกันไป ตอนนี้เข้าสู่ข้อสรุปล่าสุดบนโลกบ้างดีกว่าครับ

    • ที่ประหารนักโทษ



    จากหลักฐานที่ขุดพบที่ Stonehenge พบว่ามีซากโครงกระดูกมนุษย์ Anglo-Saxon แถมมีร่องรอยบาดเจ็บสาหัส หรือคอขาด (บรื๋อ) จึงทำให้เชื่อว่า Stonehenge ความจริงแล้วอาจเคยเป็นที่แขวนคอนักโทษประหาร หรือ Stone gallows !!!



    ความจริงความเห็นของนักโบราณคดีที่สนับสนุนทฤษฏีก็ฟังดูมีน้ำหนักพอควรเหมือนกัน อ้าว?
    สาเหตุก็คือ ในสมัยยุคโบราณนั้นผู้คนมีความเชื่อเรื่องภูตผีปิศาจ และอำนาจเหนือธรรมชาติมากครับ โดยชนชั้นปกครองเองก็จะนำความกลัวและอภินิหารมาใช้ในการควบคุมประชาชน จะเห็นได้จากยุคนั้นจะมีการรักษาด้วยเวทมนต์ ไสยศาสตร์ และชนชั้นผู้นำก็จะเป็นกลุ่มกษัตริย์และหมอผี (บางครั้งคือ พระนักบวช ดังจะเห็นได้จากวรรณะของอินเดีย) โดยใครไม่เชื่อฟังผู้นำ (หมอผีนั่นล่ะ) จะต้องถูกเก็บ (ตัดหัว) จึงทำให้มีหลักฐานเป็นซากโครงกระดูกจำนวนมาก


    อย่างไรก็ดี ผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ (ส่วนใหญ่เป็นนักโบราณคดี) ก็ยอมรับว่า Stonehenge นี้สามารถคำนวณปฏิทินดาราศาสตร์ได้ถูกต้องใกล้เคียงกับการใช้คอมพิวเตอร์ และยังไม่มีความเห็นอื่นๆ เกี่ยวกับวิธีการสร้าง Stonehenge 


    • โรงพยาบาล?


    จากข้อสรุปล่าสุด ที่เป็นผลงานวิจัยของ ศจ. Tim Darvill และ Geoff  Wainwright  นั้นสรุปได้ว่า Stonehenge นี้อาจจะเคยเป็นศูนย์กลางรักษาโรคในอดีต

    จากหลักฐานที่เป็นการตรวจหาอายุคาร์บอนจากโครงกระดูกและฟันของซากโครงกระดูกที่กล่าวมาขึ้นต้นนั้น ถือเป็นข้อสรุปค่อนข้างที่มีหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนาว่า Stonehenge ถูกสร้างเพื่อเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีศพยุคโบราณ มาตั้งแต่ช่วง 3000 ปีก่อนคริสตกาล และถูกใช้เป็นเวลานานกว่า 500 ปี  นอกจากนี้ยังมีการขุดพบซากของหมู่บ้านที่มีกว่าพันครัวเรือนรอบ ๆ พื้นที่ อย่างไรก็ตามพบว่า ร่างที่ถูกฝังที่ Stonehenge จะเป็นกลุ่มที่มีจำนวนไม่มากนัก จึงเป็นไปได้ว่าจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในขณะนั้น ถึงจะมาถูกฝังที่นี่ได้

     Stonehenge จากมุมบน 

    แต่จากความเห็นของ ศจ. นั้นสรุปได้ว่า Stonehenge นี้อาจจะเคยเป็นศูนย์กลางรักษาโรคในอดีต เนื่องจากบริเวณใกล้เคียง เขาพบสุสานที่มีซากศพที่บ่งชี้ว่า ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเจ็บป่วย อีกทั้งจากการวิเคราะห์ลักษณะฟันพบว่า กว่าครึ่งไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บคงจะเดินทางมารักษาโดยใช้พลังพิเศษของหิน Stonehenge และยังพบว่ามีการทุบ Stonehenge เพื่อนำเศษหินพกติดตัวเป็นเครื่องรางและเป็นที่ระลึก (นิสัยเหมือนกันทุกยุคเลยนะครับ -_-l)

     Heal Stone


    ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ได้จากหลักฐานเท่านั้น และจนถึงปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปใดที่ได้รับการยอมรับประเภท 100% และคิดว่าคงไม่ทางจะเกิดขึ้น เพราะความจริงที่ว่า เราไม่ใช่คนในยุคนั้นครับ ตาเราไม่ได้เห็นและมือเราไม่ได้คลำเองครับ การรับรู้อะไรต้องมีวิจารณญาณครับ ถ้าอยากรู้ไปพิสูจน์กันเองนะครับ เพราะทางรัฐบาลอังกฤษเปิดที่ท่องเที่ยวในตั้งแต่ปี 1918 ครับ  



    ไม่แน่ว่าต่อไปอีก 1000 ปีข้างหน้าผู้คนอาจตั้งสมมุติฐานว่ามีการสืบทอดการสร้าง Stonehenge จากอังกฤษก็ได้นะครับ 



    แล้วพบกับตอนหน้าหน้าเกี่ยวกับตำนานของ Stonehenge กับพื้นฐานความเชื่อของอังกฤษ :D



    --------------------------
    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
    1. www.wikipedia.com
    2. www.nationalgeographic.com
    3. www.pantip.com



    Stone Henge – Wiltshire, England (5)

    Stonehenge และตำนานกษัตริย์อาเธอร์ (Arthurian)


    Stonehenge นี้อยู่ในตำนานกษัตริย์อาเธอร์ (Arthurian) ซึ่งเป็นตำนานที่เป็นรากฐานความเชื่อของแถบยุโรปเลยครับ

    จากหนังสือของ Geooffrey of Monmount ชื่อ Historia Regum Britanniae (History of Britain Regime; Hitory of the Kings of Britain) ซึ่งเป็นหนังสือบรรยายความเป็นมาของกษัตริย์อังกฤษ (ตำนานการครองราชย์ของอังกฤษ...อารมณ์นั้นน่ะครั บ หนังสือได้กล่าวถึงตำนานการสร้าง Stonehenge ไว้ว่า 
    ในศตวรรษที่ 5 สมัยพระเจ้า Aurelius Ambrosius แห่งบริทาเนียต้องการสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่อัศวิน 3,000 คนที่พลีชีพจากการสู้รบกับชาว Saxson ที่เนิน Salisbury จึงได้สั่งให้พ่อมดเมอร์ลิน (Merlin) ไปนำก้อนหินซึ่งสร้างจากยักษ์มาจากเมือง Salisbury ในไอร์แลนด์ เมอร์ลินจึงเดินทางไปยังอูเธอร์ เพนดราก้อน (Uther Pendragon) ซึ่งต่อมาคือพ่อของกษัตริย์อาเธอร์ ร่วมกับอัศวิน 15,000 คน เดินทางไปนำก้อนหินยักษ์ซึ่งเรียกว่า Giant’s Ring (ตามรูปร่างสมัยก่อนของ Stonehenge ซึ่งเป็นวงกลม) ตามบัญชา --- อันนี้ชักคุุ้นๆ เหมือนเล่นเกมส์ RPG



    Giant’s Ring นี้เชื่อกันว่าได้ถูกยักษ์แบกมาไกลจากยอดเขา Killaraus ในทวีปแอฟริกามาไว้ที่ไอร์แลนด์ โดยเชื่อว่าเป็นหินที่มีพลังในการรักษาและใช้ในพิธีกรรมโบราณ แต่ทหารหรือจะยกก้อนหินขนาด 50 ตันได้ ร้อนถึงพ่อมดเมอร์ลินต้องใช้เวทมนต์ย้ายหินมายังบริเทน แถมยังมาเรียงเป็นวงกลม Giant’s Ring เหมือนตอนอยู่ในไอร์แลนด์ ในตำนานยังเล่าต่อไปอีกด้วยว่าหลังจากที่กษัตริย์ Aurelius, Uther และ Constantine สวรรคต ก็ถูกนำมาฝังไว้ที่นี่ด้วย


    แต่อีกตำนานของฝั่ง Saxon และ Briton กันบ้าง ในปี 472 กษัตริย์ Hengist ซึ่งเป็นผู้รุกรานอังกฤษ (British) ในขณะนั้นได้เชิญอัศวินชาวอังกฤษมาร่วมงานเลี้ยง แต่ความจริงได้วางแผนโฉดซุกซ่อนอาวุธเอาไว้และฆ่าอัศวินไป 420 คน ภายหลัง Hengist รู้สึกสำนึกผิดจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ให้ทหารเหล่านั้นฟังแล้วสรุปว่าตรงกันตรงที่มีทหารอังกฤษถูกชาว Saxson ฆ่าตายไปครับ


    นอกจากนี้ Stonehenge ก็มีความเกี่ยวพันกับกลุ่ม Druid ซึ่งได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอังกฤษในช่วงประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล หรือช่วงหลังจากที่ Stonehenge ถูกสร้างมาแล้วกว่าหลายร้อยปี โดยอาจใช้ Stonehenge เป็นวัดหรือแท่นสักการะ



    ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยกันงง :)

    Druid คือใคร?

    คือนักบวชของเผ่าเคลต์ (Celts; Kelts) ซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณกระจายตัวในยุโรปตะวันตก โดย Druid เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ บูชาต้นโอ๊กและต้นมีเซิลโท มีการระกอบพิธีกรรมในป่าโอ๊ก ความลึกลับของDruid ทำให้นักบวชเหล่านี้มีอำนาจทั้งยังสั่งสอนผู้คน และเป็นตุลาการ Druid ถ่ายทอดความรู้โดยความจำ การเขียนและการเปลี่ยนไปเข้ารีตในศาสนาคริสต์ทำให้อิทธิพลของศาสนาดรูอิดกร่อนสลายไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2 – 4


    ไพ่ Tarot แบบ Celtic Cross 





    อีกนิดนึงครับ ชาวเคลต์อาจไม่เป็นที่คุ้นหูครับ แต่ผู้ที่ชอบศาสตร์การทำนายไพ่ยิปซีคงจะคุ้นหูกับคำว่า Celtic Cross หรือวิธีการดูไพ่ยิปซี 10 ใบที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบันนี้ คำว่า Celtic ก็มาจาก Celt นี่ละครับ และมีไพ่ยิปซีและออราเคิลอีกมากมายที่เกี่ยวพันกับศาสนาดรูอิดและเซลติกครับ :D






    -------------



    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
    1. wikipedia.com
    2. nationalgeographic.com
    3. swindon-birds.co.uk