people

สถานที่แปลกพิศวงจาก Google Earth!

หลังจากที่ Google ได้พัฒนาฟังก์ชั่นสุดเจ๋งชื่อ Google Earth ขึ้นมา นอกจากทำให้เราๆ (ชาวบ้านร้านตลาด) ได้ดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมกันฟรีๆ อย่างจุใจแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อการค้นหาิสิ่งต่างๆ ในโลกอีกด้วย 

และยังทำให้เกิดการค้นพบสถานที่แปลกๆ พิศวงอีกมากมาย ไม่เชื่อลองดูใน VDO สิครับ





ไม่รู้ว่าหากันเจอได้ยังไงนะครับ :D


ตึกแปลกๆ ระดับโลก (แต่มีจริงๆ ) (3)

11. The Basket Building (Ohio, United States)


สงสัยชาวอเมริกันอาจต้องการความแตกต่างเพื่อความเด่นหรืออย่างไร เลยสร้างตึกรูปร่างแปลกๆ มาอวดชาวโลกกันเยอะ
ตึกรูปร่างน่ารักนี้เป็นสำนักงานของบริษัท The Longaberger Basket Co.,Ltd. ซึ่งเป็นบริษัททำตะกร้าจ่ายตลาดชื่อดัง ตั้งอยู่ในเมือง Newark, Ohio ขนาด 180,000 ตร.ฟุต ใช้เวลาสร้างนาน 2 ปี ราคาก็ประมาณ 30 ล้านเหรียญเท่านั้นเองงง

12. Shoes House (Pennsylvania, USA)


บ้านรูปทรงรองเท้าไม้ สร้างขึ้นในปี 1948 โดย พ.อ.Mahlon N. Haines คงเป็นแฟนเทพนิยายตัวยงเลยทีเดียว

13. Solar Furnace (Odeillo, France)



อาคาร Solar Furnace เป็นตึกที่ออกแบบมาเพื่อสร้างพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้กระจกโค้งซึ่งทำหน้าที่สะท้อนแสงเพื่อไปรวมศูนย์กลางไว้ทีุ่จุด focus ซึ่งจุดนี้มีอุณหภูมิถึง 3,500 °C (6,330 °F) เพื่อใช้สร้างกระแสไฟฟ้า ...ไม่เหลือซากกันเลยครับ

14. The Crooked House (Sopot, Poland)


บ้านเบี้ยว!? 
บ้านเบี้ยวๆ นี่สร้างขึ้นเมื่อ ม.ค. 2003 เสร็จในเดือน ธ.ค. ปีเดียวกัน โดยคนสร้างคงชื่นชอบภาพวาดในหนังสือเทพนิยายของ Jan Marcin Szancer (นักวาดภาพเด็กชื่อดังในโปแลนด์) และ Per Dahlberg (นักวาดภาพชาว Swedish) 

15. Chang Building (Bkk, Thailand)


ไปกันมารอบโลก มาดูตึกแปลกในไทยบ้าง 
"ตึกช้าง" สร้างโดย ศจ.อรุณ ชัยศรี เนื่องจาก อ.อรุณชื่นชอบช้างมาก ทั้งยังมีสะสมไว้มากมาย จึงออกแบบอาคารรูปช้างดังที่เราคุ้นตากันดี ปัุจจุบันเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานสุดฮิตแห่งหนึ่ง

-----
ที่มา: 
1. wikipedia.com
2. google.com



ตึกแปลกๆ ระดับโลก (แต่มีจริงๆ ) (2)

มาว่ากันเรื่องตึกแปลกๆ กันต่อ 


6. Fuji television building (Tokyo ,Japan)




ตึกรูปร่างแปลกตานี้คือ สำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ Fuji Television ซึ่งเป็น landmark ของเมือง Odaiba ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นชื่อ Kenzo Tange 
ลูกบอลที่เห็นในภาพนี้มีน้ำหนักถึง 1,200 ตัน เ้ส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 32 เมตร (ถ้าหลุ่นนี่มีหวัง... -_-' ) ภายในมีห้องสตูดิโอ 10 ห้อง คนภายนอกสามารถเข้าชมได้ภายในลูกบอลนั่นได้ โดยผู้ใหญ่ราคา 500 เยน เด็ก 300 เยน ครับ


7. Dome House (Florida, United States)


ตึกรูปโดมหน้าตาล้ำยุคนี้ เป็นที่ฮือฮามากหลังจากปี 2004 เนื่องจากหลังจากเกิดพายุเฮอริเคนความเร็วลม 300 ไมล์ต่อชั่วโมงถล่ม Pensacola Beach รัฐ Florida, USA แต่ตึกนี้แทบไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย (ส่วนข้างๆ พังเรียบ) 
ถือว่านอกจากความล้ำสมัยแล้วยังป้องกันพายุและฝุ่นได้ดีอีกด้วย


8. Kansas City Public Library (Missouri, USA)




ไหนๆ ก็เป็นห้องสมุดแล้วก็สร้างอาคารรูปหนังสือขึ้นมาซะเลย โครงการนี้ตั้งอยู่ใจกลาง Kansas City ...สงสัยนักศึกษาที่นี่คงรักหนังสือน่าดู


9. Habitat 67 (Montreal, Canada)



ตึกรูปร่างคล้ายรังต่อนี้สร้างขึ้นจากการจัดงาน Expo 67 ซึ่งจัดขึ้นในเมือง Montreal ซึ่งกลุ่มอาคารนี้เป็นหนึ่งในส่วนหลักของงานนี้เลยทีเดียว โดยต้องการสื่อความหมายในเชิงสัญลักษณ์ถึงภูมิปัญญา ความจริง และความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของมนุษย์ในสังคม...มันเป็นงานศิลปะ 
10. Cubic House (Rotterdam, Netherlands)
Welcome to cubic world! 
แนวคิดการสร้างบ้านรูปทรงคิวบิกนี้เกิดขึ้นเมื่อปีช่วง 1970 โดย Piet Blom ได้สร้างบ้านทรงลูกบาศก์นี้ในเมือง Helmond จากนั้นเกิดไปสะดุดตาผู้ว่าการเมือง Rotterdam เข้า จึงได้ให้เขาออกแบบส่วนบนของสะพานให้ นาย Blom จึงอวดฝีไม้ลายมือของเขาเป็นรูปทรงคิวบิก โดยสะท้อนแนวคิดเชิง abstract (ศิลปินอีกแล้ว) ว่าบ้านแต่ละหลังหมายถึงต้นไม้ ซึ่งรวมเข้าด้วยกันเป็นป่านั่นเอง ...เข้าไปกันไปเลย
----------------
ที่มา: 
1. atcloud.com
2. villageofjoy.com

ตึกแปลกๆ ระดับโลก (แต่มีจริงๆ ) (1)


ไปดูสถานที่แปลกๆ กันมาแล้ว คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศไปดูตึกแปลกๆ พิสดาร (แต่มีจริง) ในโลกกันบ้างครับ เริ่มกันที่นี่ครับ

1. Air Force Academy Chapel (Colorado, USA)



ก็เหมาะกันดีล่ะครับเพราะเป็นโรงเรียนสอนทำการบินของสหรัฐเขา (งบมันเยอะ)

2. Beijing National Stadium (Beijing, China)


ชื่อคุ้นหูใช่มั้ยครับ มันเป็นสนามกีฬาจัดมาเพื่อโอลิมปิกที่ผ่านมา โดยรัฐบาลจีนทุ่มทุนสร้างโดยจัดการประกวดแบบให้สถาปนิกทั่วโลก ซึ่งสถาปนิกชื่อดัง Herzog & de Meuron รางวัล Pritzker Prize จัดไปได้อลังการงานสร้างอย่างที่เห็นครับ  

3. Container City 
ใครอยากมีบ้านแนวๆ (ไม่เหมือนใคร) ดูดีมีสไตล์ รักษาโลก และสร้างเสร็จภายในวันเดียวต้องนี่เลยครับ บ้านจากคอนเทนเนอร์  แต่อย่าคิดว่าอึดอัด ข้างในนี่สะดวกสบายเหมือนบ้านทั่วๆ ไป โดยทางผู้สร้างโครงการนี้ชี้แจงว่ามีประโยชน์ในการใช้สอยมากและประหยัดครับ มีให้เลือกกันหลายแบบ


อันนี้ของฝั่งอังกฤษ สนใจติดต่อ Urban Space Management, Container City™ ได้ (กระผมไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด 555)
ส่วนผู้ใดรักธรรมชาติ แต่อยากมีบ้านสุดเดิ้น ก็นี่ครับ "Manifesto House" หลังนี้ เค้าใช้คอนเทนเนอร์กรุด้วยแผ่นไม้มาทำผนัง เพื่อให้ดูโปร่งโล่งสบายและอากาศหมุนเวียนได้ดี (เค้าบอกว่างั้นนะ)

Manifesto House 

ข้างในก็เดิ้นซะ สนนราคาประมาณ 79,000 ยูโร หรือ 3 ล้านกว่าบาทครับพี่น้อง -_-'

5. Erwin Wurm House Attack (Viena, Austria)


อาร้ายยยยย บ้านหล่นใส่หัว!
สำหรับ Erwin Wurm แล้ว ทุกสิ่งอย่างสามารถประติมากรรมได้ทั้งสิ้น 
คิดได้อย่างนั้นก็เลยสร้างบ้านหัวทิ่มบนตึกพิพิธภัณฑ์ Mumok Museum อย่างที่เห็นกันนี่ล่ะครับ เพื่อสะท้อนแนวคิดตามประสาศิลปินว่า มีสิ่ง (น่าสนใจ) ประดังประเดเข้ามาทางกำแพงของพิพิธภัณฑ์ตลอดเวลา
...รู้แต่ว่าปัจจุบัน มันกลายเป็น landmark แห่งหนึ่งใน Austria ไปเรียบร้อยโรงเรียนเวียนนาครับผม 

คราวหน้ายังมีตึกแปลกประหลาดอื่นๆ มาให้ชมกันอีกครับ:D

---------
references:
1. wikipedia.com
2. atcloud.com

Mima Mounds

Mima Mounds [กองเนิน Mima]

กล่าวกันว่านักวิทยาศาสตร์เป็นกลุ่มที่หลงใหลในเรื่องศาสตร์ลึกลับ นักชีววิทยาชื่นชอบการเข้าถึงเซลล์ของมนุษย์ อานุภาคของพระเจ้า นักฟิสิกส์ยังคงค้นคว้ารังสีคอสมิก นักดาราศาสตร์ยังคงค้นคว้าเรื่องหลุมดำ และทั้งหมดก็ยังคงเป็นปริศนากันให้ขบคิด (กันหัวแทบแตก) จนถึงทุกวันนี้ และสิ่งที่จะนำเสนอในวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยังคงเป็นปริศนาให้แก่โลกใบนี้ โดยเป็นเรียกว่า “Mima Mounds”

 กองเนินตะปุ่มตะป่ำ Mounds

Mima Mounds (อ่านว่า ไมมา มาวส์) นี้เป็นลักษณะภูมิประเทศที่ตะปุ่มตะป่ำเป็นเนินอย่างที่เห็นในรูปล่ะครับ โดยพบได้ในหลายแห่งของโลก เช่น เคนยา แคนาดา ออสเตรเลีย จีน และแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาของรัฐแคลิฟอร์เนีย อาร์แคนซัส เท็กซัส หลุยส์เซียน่า และวอชิงตัน

 Mima mounds แบบ original 

โดย Mounds หรือเนินปูดๆ เหล่านี้นั้น มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3-50 ม. สูงประมาณ 30 ซม.- 2 ม. และมีความหนาแน่นตั้งแต่ไม่กี่อันจนถึงมากกว่า 50 mounds ต่อเอเคอร์ โดยชื่อ Mima Mounds นี้ได้มาจากชื่อทุ่งหญ้า Mima Prairie ใน Thurston Country รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

ความแปลกประการแรกของมันคือ มันมีลักษณะเหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงลักษณะที่ตั้ง (ไม่แคร์สื่อว่างั้นเหอะ) โดย mounds ในเคนย่ามีลักษณะใกล้เคียงกับในเม็กซิโกและแคนาดา โดยพบว่า mounds ทั้งหมดจะมีลักษณะเป็นกองดินสูง 6 ฟุต แถมมีลักษณะเรียงกันเป็นแถวที่มีระยะเท่าๆ กันอีกด้วย

 Mima mounds แบบเนินใหญ่

สิ่งที่เป็นปัญหาให้ถกกันเล่นๆ ต่อไปคือ มันคืออะไร? มันมาจากไหน? และทำไปทำไม?

ทฤษฏีที่ดูมีเหตุผลฟังขึ้นบ้างก็ว่า คนพื้นเมืองเป็นคนสร้างมันขึ้นมาโดยลากขยะและดินมากองไว้ แต่มีคนแย้งหนักเหมือนกันว่า
ดูก่อนท่านทั้งหลาย... ไอ้กองดิน mounds นี้มันคนละชนิดกันกับดินที่อยู่ใกล้เคียงนะครับ แถมไม่มีเครื่องบ่งชี้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันใดเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำพวกเขาจะทำยังไงให้คนที่อยู่ห่างกันไปเป็นพันๆ ไมล์ คนละทวีป คนละโยชน์ เช่น เม็กซิโก จีน เคนย่า ทำเช่นเดียวกันเล่า? --- เป็นอันตกไปครับ

ทฤษฎีต่อไปโดยนาย George Cox ซึ่งเป็นนักสวนสัตว์ San Diego State University บอกว่าหนูที่ชื่อ Pocket gophers ซึ่งมีมีมากมายในแถบอเมริกาเหนือ ขุดดินบริเวณนั้นขึ้นมาเพื่อสร้างที่อยู่ของมัน แต่มีข้อโต้แย้งว่าหนูประเภทนี้ก็ไม่ได้อยู่อาศัยใน mounds นี่นา แถมมันก็ไม่ได้มีอยู่ในจีนหรือเคนย่าด้วย


ทฤษฎีต่อมา ธรรมชาติสร้าง คือลม ฝน และปัจจัยทางธรณีต่างๆ (และพระเจ้า) ช่วยกันสร้างขึ้นมา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเขตแห้งแล้งจึงทำให้มีลมกวาดมันขึ้นมาเป็นกองได้ บ้างก็ว่าเกิดจากแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อ 1,000 ปีก่อนมาเขย่าทำให้ดินเทกองรวมกัน บ้างก็ว่าเกิดจากธารน้ำแข็งในยุคโบราณระเหยไปจึงทำให้เป็นหลุม บ้างก็ว่าเคยเป็นดินแดนที่จมอยู่ใต้น้ำ เมื่อน้ำระเหยไปจึงทำให้เกิด สิว บนบนโลก บ้างก็ว่าเกิดจากแร่ธาตุในดินบวมขึ้นมา ฯลฯ


แต่จนแล้วจนรอดยังไม่มีผู้ตอบได้ครับว่า แล้วทำไมต้องมีเฉพาะบางจุดของโลกที่มีลักษณะดินไม่สัมพันธ์กันเลย แถมยังสร้างได้เท่ากันเป๊ะราวกับได้วัดมาอย่างดีแล้วอีกต่างหาก

  
ทฤษฎีต่อไปเลยยกให้เป็นผลงานของสิ่งเหนือธรรมชาติไปซะเลย ให้รู้แล้วรู้รอดไป... จะฝรั่งหรือไทยก็เหมือนกันละ ถ้ายังมืดอยู่ละก็ยกให้เป็นปัญญาของพระเจ้าเถิด :D

---------
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
1. mystic-places.blogspot.com
2. wikipedia.com

The great blue hole - Belize

The Great Blue Hole [โคตรหลุมใต้ทะเล]

The Great Blue Hole คือหลุมขนาดยักษ์ที่จมอยู่ใต้น้ำนอกชายฝั่งของ Belize ตั้งอยู่ใกล้เขตศูนย์กลางของ Lighthouse Reef ซึ่งเป็นเกาะปะการังขนาดย่อมประมาณ 100 กม. (62 ไมล์) จากชายฝั่งเมือง Belize เขตพื้นที่แนวหินโสโครกนี้ทอดตัวยาวประมาณ 1,000 ฟุต และเป็นที่อยู่สุดสบายของปะการังจึงทำให้เขตนี้เป็นเขตปะการังที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง
  
นี่ละครับ "โคตรหลุมสีฟ้า" - The Great Blue Hole

The Great Blue Hole นี้มีขนาดกว้างประมาณ 300 ม.(984 ฟุต) และลึกประมาณ 125 ม.(410 ฟุต) เองครับ !!! รูปร่างของหลุมเป็นลักษณะเหมือนถ้ำครับ สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง ซึ่งระดับน้ำทะเลในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 100-120 ม. (330-390 ฟุต) ซึ่งต่ำกว่าในปัจจุบันครับ โดยคาดว่าแรกเริ่มเดิมทีมันเคยเป็นถ้ำหิน Limestone มาก่อน ต่อมาพอระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก็เลยท่วมถ้ำจนหมด เพดานถ้ำโดนน้ำเซาะจนพังทลาย และยุบตัวซ้ำๆ จนกลายเป็นหลุมกลวงโบ๋อย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยมีอุณหภูมิที่ความลึก 130 ฟุต (40 เมตร) ประมาณ 76 องศา F (24 C) ตลอดทั้งปี

ลักษณะแท้จริงของ The Great Blue Hole คือเป็นถ้ำหินปูนใต้ทะเลครับ

The Great Blue Hole ยังเป็นสุสานของนักดำน้ำมากมายด้วย สาเหตุของการตายของนักดำน้ำเพราะที่ระยะ 60 ม. นักดำน้ำจะเกิดอาการ Nitrogen narcosis ทำให้หมดสติได้ ประกอบกับปากอุโมงค์เห็นยากเพราะมีลักษณะเป็นหลุมที่ลึกและมืด ทำให้นักดำน้ำที่ยังอยากลงไปพบจุดจบมากๆต่อมากแล้ว แต่ยังมีนักประดาน้ำจัดอันดับให้มันเป็น 1 ใน 7 สถานที่ดำน้ำประเภทที่สุดของโลกอยู่ดีครับ

ถ้าสงสัยว่า Belize อยู่ที่ไหน - นี่ครับ อเมริกาใต้ครับ



แต่หลุมที่ลึกที่สุดในโลกใต้ทะเลที่มีการบันทึกไว้คือ Dean’s Blue Hole ครับ ซึ่งลึกประมาณ 202 ม. (663 ฟุต) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของ Clarence Town ใน Long Island, Bahamas ครับ (ลึกได้อีก จะมีตัวอะไรอยู่บ้างเนี่ย)

นี่คือ Dean's Blue Hole ครับ - ดูภายนอกไม่เท่าไหร่เลยใช่มั้ยครับ

ภายในของ Dean's Blue Hole ครับ - มันเป็นขวดนมครับ

มาว่ากันเรื่อง The Great Blue Hole กันต่อนะครับ ภายในถ้ำนี้มีหินงอกหินย้อยจำนวนมาก




ปัจจุบัน The Great Blue Hole (โคตรหลุมสีฟ้า) เป็นส่วนหนึ่งของเขตอนุรักษ์แนวปะการังของ Belize (Belize Barrier Reef Reserve System) ซึ่งเป็นมรดกโลก UNESCO นะครับ ซึ่งเป็นที่ที่มีผู้คนสนใจไปเยี่ยมชม และ hot hit สำหรับผู้รักการดำน้ำ (ลงรูไปดูของแปลก) ปีละเป็นจำนวนมากครับ :D

-----
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
1. Wikipedia.com
2. Flicks.com 


Stone Henge – Wiltshire, England (3)

ตอนที่ (3) Stonehenge สร้างขึ้นเพื่ออะไร? (ตอนแรก)


สืบเนื่องจากตอนที่แล้วในเรื่องความลับของการสร้าง Stonehenge จึงทำให้มีคำถามว่า ความจริงแล้ว Stonehenge ถูกสร้างเพื่ออะไร? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญได้ถกกันมาเยอะมากครับ เอาเป็นว่าผมศึกษามาพบว่า ไว้ 3 ข้อสรุปหลักๆ นะครับ

  • ปฏิทินดูกาลโบราณ 

อันนี้เป็นข้อสรุปแรกๆ จากความรู้ด้านดาราศาสตร์ หลังจากใช้นักโบราณคดีใช้ Radiocarbon วัดอายุหิน ก่อนหน้านี้ ได้มีการสันนิษฐานกันไปต่างๆ นาๆ ว่าไอ้แท่งหินประหลาด Stonehenge นี้มีไว้เพื่ออะไร บ้างก็ว่าสร้างมาเพื่อสำหรับเป็นแท่นบูชาบรรพบุรุษ บ้างก็ว่าบูชาเทพเจ้า บ้างก็ว่าเป็นหอดูดาว

ส่วนนาย Gerald S. Hawkins (1973) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน สันนิษฐานว่าเครื่องมือทำนายตำแหน่งทางดาราศาสตร์ เพื่อใช้เป็นปฏิทินแบบคร่าวๆ เพื่อคำนวณตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก (หรือปฏิทินฤดูกาลโบราณ ถ้าว่างๆ ผมจะนำเสนอเพิ่มเติมครับ) ซึ่งในข้อนี้ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักนะครับ โบราณสถานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการคำนวณตำแหน่งดวงดาว โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ไว้อย่างแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว เช่น เขาพระวิหาร และซิกูแรต 
  
ระยะที่ 1 (อายุ 4,900 – 4,950 ปี)

ยังไม่มีหินที่เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีท้องร่องขนาดกว้าง 20 ฟุต เป็นวงกลมล้อมรอบ เส้นผ่าศูนย์กลาง 320 ฟุตชั้นด้านในมีหลุมเหมือนสนามเพลาะขนาด กว้าง 4.5 ฟุต ลึก 7 ฟุต เรียงกันเป็นวงกลม 56 หลุม เรียกว่า Aubrey Holes พบกระดูกสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นวัวบริเวณก้นหลุม (อายุกระดูกสัตว์แสดงความเก่ากว่าหลุม 200 ปี) ประเมินได้ว่าก่อนหน้านี้ เป็นสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 


ระยะที่ 2 (เริ่มต้นประมาณ 4,900 ปี) 

มีการปรับระดับมูลดิน โครงสร้างไม้ปักแสดง เป็นสัญลักษณ์กลุ่มโดยมีเสาไม้ บริเวณทางเข้า ทิศเหนือและทิศใต้ มีช่องทางเดินตามแนวแสงของ ดวงอาทิตย์ (ช่วงกลางฤดูร้อน) บริเวณหลุมพบ โครงกระดูกมนุษย์ไม่น้อยกว่า 200 คน ซึ่งหลงเหลือจากการฌาปนกิจ และเป็นจำนวนมากบริเวณปากหลุม

ระยะที่ 3 (อายุ 3,600 – 4,550 ปี)

เป็นการก่อสร้างโดยตรง นำเสาหิน Bluestone ประมาณ 80 ต้นจัดทำเป็นวงกลม 2 วงซ้อนกัน หินส่วนใหญ่นำมาจาก Carn Meini Quary (Southwestern Wales) มีระยะทางประมาณ 100 กม. 


  • เทวสถานศักดิ์สิทธิ์ 
ถือเป็นความเชื่อแรกๆ เลยครับ อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากความลี้ลับในการสร้างทำให้เกิดปรากฏการณ์ วันกลางฤดูร้อน นอกจากนี้เป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับข้อแรกนะครับเนื่องจากสถานที่บูชาในสมัยก่อนถือเป็นที่ติดต่อกับพระเจ้า และมีความเชื่อในเรื่องพลังจักรวาล จึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงระหว่างดวงดาว

  • มนุษย์ต่างดาวสร้าง เลยไม่รู้ว่าสร้างเพื่ออะไร...ก็ผมเป็นมนุษย์นี่ครับ 
 ซะงั้น แต่กลุ่มที่เขาเชื่อถือนี้มองว่าทั้งความรู้ขั้นเทพนี้ไม่ธรรมดา (เหมือนกันพวกปิรามิด) อย่าลืมนะครับว่า แม้แต่ในปัจจุบันนี้นักโบราณคดียังคงไม่มีคำตอบว่า เป็นไปได้หรือที่คนยุคโบราณไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใดๆ จะขนย้ายหินน้ำหนักเป็นตันๆ และการก่อสร้างอย่างเหมาะเจาะ ...ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนโบราณยุค Neolithic นั้น

Stonehenge มีความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาก เ่ช่นเดียวกับเรื่องของหมู่บ้าน Avebury ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก

  • หลุมฝังศพกษัตริย์ หรือเป็นอนุสาวรีย์ อันนี้จากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ครับ (อันนี้จะนำเสนอตอนถัดไปครับ)
      
    ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการสร้าง Stonehenge ยังไม่จบแค่นี้นะครับ คราวหน้ามาต่อครับ :D

    -------------
    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก:
    1. www.wikipedia.com
    2. www.nationalgeographic.com
    3. www.puansanid.com