people

PAMUKKALE – TURKEY

Pamukkale [ปราสาทสีขาว]

คราวนี้พาไปดูของสวยๆ กันบ้างนะครับ Pamukkale หรือในภาษาตุรกีแปลว่า ปราสาทสีขาว (ราวปุยฝ้าย)” (Cotton Castle) ตั้งอยู่ในเมือง Denizli  ในตอนใต้ของประเทศตุรกี ในเขตนี้เป็นที่ตั้งของน้ำพุร้อนธรรมชาติ ซึ่งทำให้เกิดหิน Travertine (คือคราบหินปูนที่เกิดจากการตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนต พูดง่ายๆ คือมันเป็นหินตะกอนชนิดหนึ่งครับ ถ้าไม่รู้ดูตามน้ำพุร้อนบ้านเราก็มีครับ) เป็นชั้นๆ สีขาวสวยงามมาก


Pamukkale ที่ประกอบด้่วยหินตะกอน Travertine

Pamukkale  ปราสาทสีขาวที่สวยงามราวกับเทพนิยายนี้เด่นเป็นสง่ามากจนเราจะสามารถมองเห็นได้จากเนินเขาในด้านตรงข้ามกับเมือง Denizli ที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกถึง 20 กม.
สระสีขาวเป็นเรียงชั้นไล่ระดับนี้ คือสถานที่แปลก (และงดงามอย่างประหลาด) ที่ธรรมชาติได้ใช้เวลาสร้างสรรค์ร่วม 2 ศตวรรษ ซึ่งคาดว่าประมาณ 1,000 ปีที่แล้วได้มีแผ่นดินไหวรุนแรง (ซึ่งเป็นเรื่องปกติในตุรกี) ทำให้เกิดน้ำพุร้อนซึ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อน้ำระเหยไปทำให้เจ้าแคลเซียมที่ว่านี้ค่อยๆ เกาะกันเป็นชั้นหิน Travertine ใช้เวลายาวนานหลายพันปี (อันนี้คล้ายๆ กับการเกิดถ้ำ ผมไม่สันทัดแล้ว อันนี้ต้องถามนักธรณีวิทยา)

Pamukkale หรือปราสาทสีขาว งดงามราวกับเทพนิยายจริงๆ ครับ

ภายนอก Pamukkale ดูเป็นปราสาทสีขาวตามความหมายภาษาตุรกีจริงๆ แต่ส่วนที่อยู่บนยอดนั้น ชาวกรีก-โรมันได้สร้างเมือง Hierapois (Holy City, Sacred City) หรือ เมืองศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2,700 ม. (8,900 ฟุต) และสูง 160 ม. (520 ฟุต) โดยคนโบราณเชื่อกันว่า น้ำสีขาวราวน้ำนมในสระ Pamukkale นี้มีพลังพิเศษที่สามารถรักษาและประกอบพิธีกรรมได้



Hierapois หรือเมืองศักดิ์สิทธิ์ของคนกรีก-โรมัน 


Pamukkale นี้มีความคล้ายคลึงกับ Yellow Stone ในประเทศสหรัฐอเมริกา และ Huanglong ในเสฉวน ของประเทศจีน (ซึ่งเป็นมรดกโลกเหมือนกันครับ) ว่างๆ จะนำเสนอต่อไปนะครับ  
สระในเมือง Hierapois ของ Pamukkale - สวยงามเหมือนในเทพนิยายจริงๆ ครับ 


Pamukkale ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ในปี 1988 และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยงลงไปอาบน้ำในสระเนื่องจากได้รับความเสียหายจากการท่องเที่ยวและการสร้างโรงแรมมาก ดังนั้น ถ้ามีโอกาสได้ไปเยือนล่ะก็ โปรดช่วยกันระวังรักษาสมบัติของโลกด้วยนะครับ อย่างที่รู้ล่ะครับ กว่าเขาจะสร้างเสร็จก็ใช้เวลา (บวกความบังเอิญ) หลายพันปีนะครับ :D





-------------
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
1. wikipedia.com
2. aquiziam.com

Avebury – Wiltshire, England

หมู่บ้านสุดลี้ลับ Avebury

ไหนๆ ผมได้เขียนเรื่อง Stonehenge ไปแล้ว เลยคิดว่าถ้าไม่พูดถึงหมู่บ้านอาถรรพ์ (เขาว่ากันนะ) ที่อยู่ในเขตเดียวกันก็คงไม่ครบเครื่อง
Avebury Stone Circles



เอาเป็นว่าถัดจาก Stonehenge ไปอีกประมาณ 25 กม. มีหมู่บ้าที่ชื่อ Avebury ตั้งอยู่ ซึ่งที่หมู่บ้านนี้เองก็มีแท่งหินลักษณะเดียวกันกันเรียกว่า Avebury Stone Circles เป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่วางเรียงกันเป็นวงกลมชั้นเดียว หินแต่ละก้อนวางห่างกันประมาณ 10 ม. รวมแล้วกว้างถึง 348 ม. และมีถนนตัดผ่านกลางวงหิน ถ้ามองจากมุมสูง (ดูจากรูปข้างบน) จะเห็นเป็นวงกลมได้อย่างชัดเจน ซึ่งแม้ว่าขนาดจะไม่ใหญ่เท่ากับ Stonehenge แต่ว่ากันว่าสามารถสัมผัสได้ถึงความลี้ลับเช่นเดียวกัน!  

โดยหากนำแท่งเหล็กรูปตัว L จำนวน 2 แท่ง ให้กำด้านสั้นไว้อย่างหลวมๆ ให้แท่งเหล็กขนานกัน (ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงเครื่องสแกน GT200 นะครับ) ค่อยๆ เดินไปทางทิศใต้ของวงหิน จะเห็นแท่งหินทั้งสองที่เคยขนานกันค่อยๆ เบนมาไขว้กันในที่สุด และเมื่อเดินถอยหลังกลับไป แท่งเหล็กทั้งสองจะกลับมาขนานกันเหมือนเดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์


ความจริงเรื่องนั้นก็แปลกพอดูแล้ว ยังไม่พอครับ 


ในทุ่งราบเมือง Avebury นี้ ยังเคยเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Crop Circleหรือปรากฏการณ์วงกลมปริศนาบนทุ่งนา ไร่ข้าวโพด ข้าวบาร์เล่ 
แล้วมันคืออะไรล่ะ? ถ้าเรามองจากมุมสูงเราจะเห็นเหมือนใครทำตราหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่างหนึ่ง ส่วนมากเป็นรูปวงกลมหรือเรขาคณิตต่างๆ บนไร่เหล่านั้น (ถ้ายังนึกไม่ออกแนะนำให้ไปดูเรื่อง The Signs ครับ) และที่แปลกพิศวงไปกว่านั้นคือ มันมักเกิดขึ้นในฤดูร้อนครับ

 Crop Circle ที่เมือง Avebury

หมู่บ้านแห่งนี้จึงได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่สนใจพิสูจน์เรื่องแปลกลี้ลับนี้เป็นจำนวนไม่น้อยเลยครับ ถ้าสนใจเชิญพิสูจน์กันได้นะครับ แต่ไหนๆ ถ้าคิดจะแวะไปแล้วอย่าลืมไปดู Stonehenge ในวันกลางฤดูร้อน (ประมาณ 21 มิ.ย.) ด้วยนะครับ :D



-------------
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
1. wikipedia.com
2. nationalgeographic.com

Stone Henge – Wiltshire, England (2)

ตอนที่ (2) เรื่องชวนขบคิด กับ ความลับในการสร้าง Stonehenge


แม้เวลาจะผ่านไปร่วมหลายพันปี แต่กองหินแปลกประหลาด Stonehenge นี้ยังคงสร้างความกังขาให้อนุชนรุ่นหลังให้ได้ค้นคว้ากันได้หลายร้อยปี (หรืออาจจะไม่สิ้นสุดก็เป็นได้!)

นับตั้งแต่เรื่องวิธีการสร้าง คิดดูนะครับว่าการนำหินก้อนละ 50 ตันมาวางบนที่ราบทุ่งเลี้ยงแกะนี่คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาใช่ไหมครับ การที่คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร โดยปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเครื่องไม้เครื่องมือของคนในยุคหินใหม่เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น

Stonehenge จากบันทึกโบราณ


ประเด็นที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ บริเวณนั้นเป็นที่ราบทุ่งเลี้ยงแกะซึ่งไม่มีก้อนหินชนิดนี้อยู่ ปัญหาคือ ไปเอาหินพวกนี้มาจากไหน? ก็ได้แต่สันนิษฐานว่าต้องมีการนำมาจากที่อื่น ซึ่งคาดกันว่าน่าจะเป็นทุ่ง Marlborough Downs ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว


นี่คือทุ่งหญ้า Marlborough ที่คาดว่าจะนำ้หินไปทำ Stonehenge 


แต่สิ่งที่ทำให้ยิ่งลี้ลับมากขึ้นคือ พบว่าการเรียงหิน Stonehenge สอดคล้องกับวิถีวงโคจรของดวงอาทิตย์ จึงทำให้เกิดทฤษฎี Stonehenge เป็นการสร้างเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าบนสวรรค์ เนื่องจากโบราณมีคติความเชื่อเรื่องดวงดาวและเทพเจ้ามากครับ จึงทำให้เกิดการศึกษาด้านดาราศาสตร์ (ซึ่งพัฒนาเป็นด้านโหราศาสตร์ Astrology) โดยแนวการวางหินนี้ มีความสัมพันธ์กันการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวต่างๆ


Stonehenge กับวันกลางฤดูร้อน (Midsummer Day) ที่เกิดเป็นภาพที่งดงาม 


โดยในศตวรรษที่ 18 คุณชาย William Stukeley นักสะสมโบราณวัตถุชาวอังกฤษ ได้สังเกตว่า Stonehenge นี้ไม่ได้วางกันแบบมั่วๆ โดยมีการนำหินสองก้อนวางตั้งโดยมีก้อนหินก้อนที่สามวางอยู่ข้างบน และมีการนำก้อนหินสีน้ำเงิน 19 ก้อนมาจัดวางเป็นรูปเกือกม้า โดยหินตรงกลางหันหน้าออกไปด้านทิศตะวันออก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในวันกลางฤดูร้อน (Midsummer's Day) หรือประมาณปลายเดือนมิถุนายน (ความจริงมีอีกช่วงหนึ่งครับ คือเมื่ออาทิตย์ตกกลางฤดูหนาว แต่คงเห็นยากนะครับ เพราะฤดูหนาวเมืองนอกมันมืดมาก) เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นไปในอยู่เหนือตำแหน่ง Heel Stone หรือในรูปคือ Altar Stone (แท่นหินบูชา) รังสีแรกวันจะสาดส่องผ่านร่องหินรูปเกือกม้ามาตกลงบนหินตรงกลางได้อย่างตรงเป๊ะเลยครับ! (คล้ายกับวันครีษมายันในปราสาทโบราณในบ้านเราครับ)




ผังการจัดวาง Stonehenge นี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าผู้สร้างมีความรู้ด้านดาราศาสตร์และสถาปัตยกรรมเป็นอย่างดี นอกจากนี้การจัดวางที่สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องวันกลางฤดูร้อนนี้ แสดงถึงความลี้ลับและความเชื่อเรื่องพลังเหนือธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

ภาพแสดงวันกลางฤดูร้อน (Midsummer's Day) กับ Stonehenge

ก่อนจะข้ามไปต่อขอโน้ตเอาไว้นิดนึงนะครับว่าทางตะวันตกมีความเชื่อเรื่อง Midsummer's Day หรือวันกลางฤดูร้อนนี้มาก โดยเชื่อกันว่า เป็นวันที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ มีพลังเทพเจ้าในการรักษา (healing Power) และอำนาจเวทมนต์ต่างๆ (ถ้าเคยอ่านเรื่อง Midsummer night’s dream ของ William Shakespeare จะพอทราบ) 

เอาไว้ถ้ามีเวลาผมจะเอามาเขียนต่อไปนะครับ

เรื่องของความแปลกลี้ลับที่สอดคล้องกับการสร้าง Stonehenge ยังไม่จบเพียงแค่นี้นะครับ โปรดติดตามตอนต่อครับผม  :D

-------------
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
1. wikipedia.com
2. nationalgeographic.com
3. swindon-birds.co.uk

Stone Henge – Wiltshire, England (1)

ตอนที่ (1) Stonehenge กับความมหัศจรรย์ด้านสถาปัตยกรรมระดับโลก

Stonehenge เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกทางด้านสถาปัตยกรรมสมัยยุคกลาง และยังจัดเป็นมรดกโลกอันดับที่ 96 ตั้งอยู่บริเวณที่ราบตอนเหนือของเมือง Salisbury ในแคว้น Wiltshire ประเทศอังกฤษ โดยประกอบด้วยแท่งหินขนาดใหญ่เรียงรายกันประมาณ 3 กม. มีกลุ่มหินขนาดใหญ่ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นลักษณะวงกลมซ้อนกัน 3 วง ซึ่งเมื่อวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางวงรอบนอกจะเท่ากับ 100 ฟุตเลยทีเดียว และยังมีการจัดเรียงลักษณะแตกต่างกัน คือบางก้อนตั้งขวาง บางก้อนล้มนอน บางก้อนทับซ้อนบนยอหินแต่ละก้อนหนักถึง 50 ตัน หรือ 50,000 กก. ซึ่งมีอายุนมนาน ตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี (ปลายยุคหินถึงต้นยุคสำริด)

โดย Stonehenge ที่เราเห็นในปัจจุบันนั้น เป็นเพียงซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่ครับ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน

 Stonehenge สิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง



Stonehenge นั้นไม่ได้สร้างทีเดียวเสร็จนะครับ แต่สร้างๆ หยุดๆ ต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะ โดยใช้เวลาสร้างจากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น ระยะเวลากว่า 1,500 ปีครับ!

Stonehenge มีการจัดเรียงที่เป็นระบบมากครับ โดยโครงสร้างแบ่งเป็นวงกลม 3 ชั้นซ้อนกัน
  • วงกลมรอบนอก   เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต 
  • วงกลมรอบกลาง เส้นผ่านศูนย์กลาง 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต 
  • วงในสุด  เส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ฟุต  มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน


แผนผัง Stonehenge ทั้งหมด

แผนที่แท่งหิน Stonehenge หรือคือจุดตรงกลางของรูปบนครับ



การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,800 ปีก่อนคริสตกาล (บางตำราก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า Aubrey Holes ตามชื่อ John Aubrey ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจจุบันหลุมเหล่านี้ถูกลาดทับด้วยปูนซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่า Heel Stone ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z ซึ่งคั่นระหว่างหลุม

วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่าง Aubrey Holes ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z เข้าใจว่ามีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ โดยในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำ Bluestone (หรือหินสีฟ้า) 80 ก้อนจากแคว้น Wales มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกัน แต่ต่อมาได้นำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Sarsen Stone จำนวน 30 แท่ง มาวางเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสีน้ำเงินสองวงวงเดิม ภายในวงหินทรายมีหมู่หินเรียงเป็นลักษณะเกือกม้า อีกสองหมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูป Trilithon อีก 5 กลุ่ม คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหิน3 แท่ง ซึ่ง 2 แท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน (เป็นรูปประตู) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19 แท่ง

แผนที่แสดงที่มาของ Bluestone และหินที่ใช้สร้าง Stonehenge

ว่ากันว่าชาวแซกซันเป็นกลุ่มแรกที่เรียกว่า Stonehenge ซึ่งคำว่า [Henge] เป็นภาษาโบราณ คือ [Hang] หรือแปลว่า แขวน ตรงกับลักษณะของหินที่เหมือนกับการแขวน 


แต่จากบันทึกในสมัยกลางเรียกวงหินประหลาดว่า The Giants Dance หรือ ยักษ์เต้นระบำ ฟังแล้วน่าขบคิดเหมือนกันนะครับ เพราะคำว่า เต้น นี่เป็นกิริยาแสดงการเคลื่อนไหว แต่ใช้เรียกหินนี่สิ หรือหินที่ว่านี่สามารถขยับเคลื่อนย้ายได้? .... ติดตามต่อไปนะครับ แล้วจะเฉลยให้

คราวหน้าค่อยมาคุยกันถึงความแปลกลี้ลับและตำนานของ  Stonehenge ในตอนต่อไป ครับ:D

--------------
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก:
1. wikipedia.com
2. nationalgeographic.com

Door to Hell – Darvaza, Turkmenistan

Door to Hell [ประตูสู่นรก]

...ชื่อก็ฟังดูน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยแล้ว เมื่อดูในรูป และคลิปจาก Youtube จะยิ่งเข้าใจว่าสถานที่แปลกนี้ มิได้มีสมญานามเกินกว่าความจริงเลยใช่มั้ยล่ะครับ


Door to hell  - ประตูสู่นรก


Door to Hell นี้คือบ่อก๊าซธรรมชาติขนาดมหึมา ตั้งอยู่ในเมือง Darvaza (หรือ Darweze ตามภาษาเติร์ก) ตั้งอยู่ในประเทศ Turkmenistan หรืออยู่ในสหภาพโซเวียตเดิม

ความจริงแล้ว Door to Hell ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นเพราะมนุษย์เป็นผู้เปิดประตูนรกนี้เองครับ!

เห็น "นรก" แล้วไม่กล้าทำชั่วเลยครับ 

เรื่องของเรื่องคือเมือง Darvaza นี้เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญในเขตนี้ทำให้มีการสำรวจและขุดเจาะเรื่อยมา จนในปี 1971 นักธรณีวิทยาชาวรัสเซียได้เข้าไปสำรวจน้ำมันในทะเลทราย Karakum ขณะที่พวกเขาขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติก็พบหลุมขนาดใหญ่มหึมาใต้พื้นดิน หรือขนาดไม่ต่ำกว่า 50-100 เมตร ซึ่งมีก๊าซพิษจำนวนมาก ก็สร้างปัญหากับกลุ่มนักสำรวจ
...เอาละสิ จะลงก็ลงไปสำรวจไม่ได้ เครื่องมือรึก็ไร้ประโยชน์ ปล่อยไว้ก็จะอันตรายต่อหมู่บ้านข้างเคียง เอายังงี้แล้วกันเผามันซะเลย จะได้กำจัดก๊าซพิษ
พวกเขาคิดว่ามันคงจะดับได้ภายในไม่กี่วันครับ แต่ทว่าหลังจากนักธรณีวิทยาตัดสินใจจุดไฟเพื่อจะเผาก๊าซพิษให้หมดไป  
ได้ผลครับ คือ...ได้เตาปิ้งบาบิคิวขนาด super xxx ไซส์ ที่ยังเผาไหม้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถ้านับรวมก็เป็นเวลากว่า 30 ปี แล้วละครับ
บริเวณที่ไม่ไกลกันนัก มี Pool of Fire หรือ หลุมไฟ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากนัก อาจไม่แปลกพอ (นี่พ่อจะเผากันทุกหลุมเลยรึ -_-‘)

ปากทางเข้าประตูนรก

Door to Hell ยังคงมีไฟอยู่จนถึงปัจจุบัน

Door to Hell นี้ มีขนาดใหญ่มาก ขนาดที่สามารถเห็นได้ในระยะไกลๆ นอกจากนี้ก็ยังสามารถเห็นได้จาก Google Earth ซึ่งเป็นแผนที่ดาวเทียมได้ที่  40 °15'8.90"N 58 °26'24.00"E นะครับ

  
 รูปจาก Google Earth ครับ

Door to Hell นี้เป็นประตูสู่นรกของจริง เพราะนอกจากจะเกิดภูมิทัศน์ที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว ยังทำให้เกิดสารพิษที่มีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วยครับ ซึ่งสถานที่แปลกนี้แสดงถึงอัตตาและความอยากของมนุษย์ที่สร้างนรกให้กับโลกครับ ...มองไว้เตือนสติให้กับมนุษยชาติว่าการกระทำของคนๆ หนึ่งย่อมมีผลต่อส่วนรวมครับ :D

-----------------
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพจาก:
  1. wikipedia.com
  2. johnbradley.com
  3. googlesightseeing.com